แกงพริกกระดูกหมู

   แกงพริกกระดูกหมู ” แกงพริกกระดูกหมู   อาหารปักษ์ใต้อีกเมนูหนึ่ง  ที่มีรสชาติดั้งเดิมของชาวใต้  คือรสเผ็ดร้อนที่มีทั้งพริก ข่า พริกไทย และที่ขาดไม่ได้ก็คือขมิ้น  โดยความอร่อยของแกงพริกกระดูกหมูอยู่ที่ กระดูกหมูที่ผัดกับเครื่องแกงจนเข้าเนื้อ
คุณค่าอาหารทางโภชนาการ
       แกงพริกกระดูกหมู หลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่แกงพริกกระดูกหมูคือ อาหารที่คุ้นเคยของชาวปักษ์ใต้ ถ้าดูจากชื่อก็จะพบว่าส่วนประกอบหลักๆ ก็จะมีเพียงสองอย่าง ก็คือพริกกับกระดูกหมู เพราะฉะนั้น อาหารชนิดนี้จึงต้องมีรสที่เผ็ดร้อน อย่างไรก็ตาม อาหารของชาวใต้ต้องมีสมุนไพร หรือเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในอาหารทุกชนิดนั่นก็คือ ขมิ้น เพราะว่าขมิ้นเป็นอาหารที่ชาวใต้บริโภคกันเป็นประจำ ขมิ้นมีประโยชน์หลายอย่าง นำมาใช้ทาก็ช่วยเรื่องการสมานแผล หรือทำให้ผิวพรรณดี แต่หากบริโภคเข้าไปก็จะช่วยเรื่องการรักษาสุขภาพในบางอย่าง ในแวดวงการวิจัยมีการวิจัยเรื่องของขมิ้นค่อนข้างมาก ผลการศึกษาที่ออกมาก็ค่อนข้างไปในทางที่ดี คือพบว่าขมิ้นอาจจะช่วยให้เรื่องของการอักเสบ ขมิ้นอาจจะช่วยในเรื่องของการป้องกันมะเร็งได้ เราก็ต้องติดตามงานวิจัยขมิ้นกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขมิ้นที่ใส่ในอาหาร มีอยู่ในปริมาณที่ไม่ได้มากนัก ก็เป็นเพียงช่วยป้องกันไม่ให้สุขภาพเสียหาย หรือช่วยป้องกันอนุมูลอิสระต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในร่างกายเท่านั้น แต่ไม่ได้ใช้ในการรักษาโรค นอกจากขมิ้นแล้วแกงพริกกระดูกหมูก็มีพริกและ ส่วนประกอบหลักอีกชนิดหนึ่งก็คือกระดูกหมู กระดูกหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ ดังนั้นถ้าเราต้องการประโยชน์จากกระดูกหมูเต็มที่ ก็ต้องเลือกใช้กระดูกหมูอ่อน เพราะกระดูกหมูอ่อน เราสามารถรับประทานกระดูกหมูอ่อนบางส่วนได้ ก็จะได้แคลเซียม ซึ่งเป็นประโยชน์ช่วยเสริมสร้างกระดูก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเลือกกระดูกหมูที่มีไขมันไม่มาก และต้องเป็นกระดูกหมูอ่อนที่มีส่วนอ่อนมาก สามารถเคี้ยวได้หรือรับประทานได้ ก็จะช่วยเพิ่มแคลเซียมอย่างที่กล่าวแล้ว แต่อาหารชนิดนี้เป็นอาหารที่แทบจะไม่มีผักเป็นส่วนประกอบเลย ดังนั้นเวลาเรารับประทาน ก็ต้องพยายามรับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่นที่มีผักเป็นส่วนประกอบมากๆ หรืออย่างที่เราทราบกันว่าปกติชาวปักษ์ใต้ ไม่ว่าจะรับประทานอาหารอะไรก็ตาม ก็จะมีตะกร้าหรือกระจาดผักวางอยู่ด้วย ทำให้สามารถหยิบผักรับประทานเวลาที่อาหารรสจัดจะเป็นเผ็ด หรือว่าเป็นหวานอะไรก็ตาม ก็จะตามด้วยผักสด ภาคใต้เป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ก็จะมีผักพื้นบ้านต่างๆมากมาย อย่างไรก็ตาม อาหารทุกชนิด เวลาที่เรารับประทาน สิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ ความเผ็ด บางท่านอาจจะรับประทานเผ็ดได้มาก บางท่านอาจจะรับประทานเผ็ดได้น้อย ความเผ็ดก็มีประโยชน์ เพราะว่าพริกจะช่วยในเรื่องของการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย จะเห็นได้ว่าเวลารับประทานอาหารที่เผ็ดร้อน หรือว่ามีพริกมาก เหงื่อจะออกค่อนข้างมาก เพราะว่าร่างกายมีการเผาผลาญพลังงาน ดังนั้นการที่กินอาหารเข้าไปแล้วมันเกิดการเผาผลาญก็จะทำให้ไม่เกิดการสะสม ก็ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สิ่งนี้ก็เป็นข้อดีของพริก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าทุกท่านที่รับประทานพริกไม่ได้แล้วก็จะต้องพยายามหันมารับประทานพริกกัน ก็คงไม่จำเป็นขนาดนั้น ส่วนคนที่รับประทานเผ็ดได้อยู่แล้ว ก็สามารถรับประทานได้ตามปกติ คนที่รับประทานเผ็ดไม่ได้ก็อย่าฝืน เพราะว่านอกจากประโยชน์ที่ได้กล่าวไปแล้ว ความเผ็ดร้อนก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองกับระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้นคนที่รับประทานเผ็ดไม่ได้เมื่อรับประทานเข้าไปก็อาจจะทำให้ท้องเสีย หรือรู้สึกแสบร้อนภายในกระเพาะอาหาร ซึ่งก็จะเป็นผลเสีย เพราะว่าการที่เกิดท้องเสีย หรือเกิดการแสบร้อนนั้น หมายความว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปอาจจะดูดซึมหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้เท่าที่ควร เพราะว่าถูกขับถ่ายออกมาก ดังนั้นทุกอย่างต้องอยู่บนทางสายกลาง ก็คือรับประทานแต่พอดี การรับประทานอาหารถ้าเรารับประทานอย่างมีสติแล้ว และทราบถึงหลักการที่ดี อาหารก็จะช่วยในการป้องกันโรคแล้วก็ช่วยดูแลสุขภาพเราได้เป็นอย่างดี
ส่วนผสม:เครื่องแกง
วิธีทำเครื่องแกง
- กระเทียมหั่น
2
ช้อนโต๊ะ
- ตะไคร้ซอย
3
ช้อนโต๊ะ
- ข่าหั่นซอย
3
ช้อนโต๊ะ
- พริกไทยดำเม็ด
2
ช้อนโต๊ะ
- เกลือ
1
ช้อนโต๊ะ
- พริกขี้หนูสด
40
เม็ด
- ขมิ้น
½ 
นิ้ว
- กะปิ
1
ช้อนโต๊ะ
- กะชายหั่นซอย
2
ช้อนโต๊ะ
- ผิวมะกรูดหั่นฝอย
ช้อนโต๊ะ


ส่วนประกอบเครื่องปรุงแกงพริกกระดูกหมู
- กระดูกหมู
167
กรัม
- เครื่องแกง
1
ส่วน
- ใบมะกรูด
ใบ
- น้ำสะอาด
1
ถ้วยชาม


1.
นำส่วนผสมต่างๆ   ที่เตรียมไว้  มาโขลกจนละเอียด แล้วจึงใส่กะปิลงไปโขลกรวมกับเครื่องแกงที่โขลกแล้วให้เข้ากันดี ตักใส่จานพักไว้

วิธีทำแกงพริกกระดูกหมู
1.
เลือกกระดูกที่มีเนื้อหมูติดกระดูก สับเป็นชิ้นยาวชิ้นละ 1 ½ - 2 นิ้ว ล้างให้สะอาดแล้ววางให้สะเด็ดน้ำ
2.
นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำ  ใส่กระดูกหมู ต้มไฟจนกระดูกสุก และเปื่อยเล็กน้อย
3.
ใส่เครื่องแกงลงไปคลุกให้ทั่ว  คนให้ละลายจนเข้ากัน ต้มต่อจนน้ำแกงแห้งน้ำขลุกขลิก  จึงใส่ใบมะกรูดฉีก  ยกลง ตักเสิร์ฟ รับประทานพร้อมผักสด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น